23 ธันวาคม 2561
ทริป ครอบครัวที่กำลังจะเดินขึ้นเขา เชียงดาว ที่เชียงใหม่
ดเริ่มต้นด้วยการนัดกันที่ สถานีรถไฟ เชียงใหม่ ที่ คงสภาพเมื่อ 30ปีที่แล้วได้ไกล้เคียงมาก เรารอคนอื่นที่มาพบกันเพื่อเพินทางออกไปเชียงดาวพร้อมกัน
ภาพรถหัวจักรไอน้ำที่จอดไว้ให้ดูเล่าถึงวันวานของรถไฟ
รถตู้5คัน ออกเดินทางพร้อมกันมัน่งหน้าสู่การล่องแก่งน้ำกิ๊ด ระหว่างที่รอให้พร้อมทั้งคณะนั้น พวกเราและเด็กๆบ้างก็ไปดทื่มกาแฟ ส่วนเด็กไม่ต้องพูดถึงวิ่งเล่นกัน รอบเสาธงที่บริเวณที่จอดรถ
กาแฟโบราณพร้อมไข่ลวกหน้าสถานีรถไฟ ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆที่เข้ากันกับสถานีรถไฟ
เสาธงที่เด็กวิ่งรอบเล่น
รถจักรไอน้ำจุดเริ่มต้นของขบวนรถไฟในสมัยโบราณ
แหนบรถไฟในสมัยโบราณ และมียี่ห้อด้วยแต่ไม่รู้ยี้ห้ออะไร
ประวัติการรถไฟไปเชียงใหม่ https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/550261
เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา เวลาที่คนเชียงใหม่จะออกเดินทางไปทำการค้ากับคนกรุงเทพนั้น สามารถเดินทางได้ทางเดียวคือ การล่องเรือไปตามแม่น้ำปิง ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางนานเป็นเดือน การล่องเรือในครั้งนั้น นิยมใช้เรือหางแมลงป่องล่องไปตามลำน้ำจำนวนหลายลำ เพราะบางช่วงจะเป็นแก่งหินจึงต้องใช้คนจำนวนมากมาช่วยลาก
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2448 ทางราชการได้เริ่มลงมือสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟสายเหนือขึ้น โดยมีวิศวกรชาวเยอรมันชื่อ มิสเตอร์ อี. ไอเซ็นโฮเฟอร์ ซึ่งเข้ามารับราชการในกรมรถไฟหลวงเมื่อปลายรัชกาลที่ 5
ทางรถไฟสายเหนือสร้างจากกรุงเทพขึ้นมาจนถึงลำปางก็ต้องหยุดชะงัก เนื่องจากภูมิประเทศในแถบนี้เป็นภูเขาสูงและมีเหวลึก เป็นสาเหตุที่ทำให้การสร้างทางรถไฟต่อจากลำปางมาถึงเชียงใหม่ต้องล่าช้าออกไป อุปสรรค์อันใหญ่หลวงของการสร้างทางระหว่างลำปางมาเชียงใหม่ก็คือ จะต้องทำการขุดเจาะภูเขาขุนตาน ซึ่งอยู่บนสันเขาผีปันน้ำเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดลำปางกับจังหวัดลำพูน
งานสำรวจและขุดเจาะถ้ำขุนตานใช้เวลาถึง 11 ปีจึงแล้วเสร็จ โดยเริ่มขุดเจาะตั้งแต่ปี พ.ศ.2450 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2461 ทำการขุดเจาะจากภายนอกทั้งสองด้านเข้าไปบรรจบกันตรงกลาง ใช้ช่างชาวเยอรมันและกรรมกรชาวจีนหลายพันคน กรรมกรชาวจีนจำนวนมากล้มตายลงที่นี่ด้วยโรคอหิวาและไข้มาลาเรีย ส่วนงานเจาะภายในอุโมงค์นั้นใช้กรรมกรชาวอีสานกับคนพื้นเมือง เนื่องจากชาวจีนไม่ยอมทำงานในอุโมงค์ เพราะพวกเขาถือว่าในอุโมงค์เป็นที่สิงสถิตย์ของภูตผีปีศาจ
เมื่อเริ่มทำการขุดเจาะอุโมงค์ขุนตานได้ไม่นาน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียก่อน มิสเตอร์ อี. ไอเซ็นโฮเฟอร์ ถูกจับตัวเป็นเชลยศึกในฐานะชนชาติศัตรู ถูกขังในเมืองไทยนาน 6 เดือนแล้วถูกส่งต่อไปยังประเทศอินเดียอีก 2 ปี จากนั้นจึงถูกส่งกลับประเทศเยอรมันเมื่อปี พ.ศ.2463 ต่อมาในปี พ.ศ.2472 ท่านได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้งและพำนักอยู่ในเมืองไทยจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2505 จึงเสียชีวิต
ความยากลำบากในการสร้างทางรถไฟจากลำปางมาเชียงใหม่ นอกจากต้องเสียเวลาในการขุดเจาะอุโมงค์ขุนตานนานถึง 11 ปีแล้ว บริเวณนี้ยังมีหุบเหวลึกอยู่หลายที่ในการสร้างทางรถไฟจะต้องใช้โครงเหล็กต่อจากพื้นด้านล่างขึ้นไปให้ได้ระดับทางรถไฟ เช่นที่สะพานเหวลึก หรือสะพานหอสูง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอุโมงค์ขุนตานไปเล็กน้อย สะพานนี้สร้างในทางโค้งเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านจะต้องชะลอความเร็ว เพราะนอกจากจะโค้งแล้วยังสูงอีกด้วย
อุโมงค์ขุนตานถือได้ว่าเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ชาวบ้านเรียกกันว่า “ถ้ำขุนตาน” ตามชื่อของดอยขุนตาน อุโมงค์นี้เปิดให้ใช้ในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ.2461 วัดอุโมงค์นี้ได้ยาว 1,362.05 เมตร
หลังจากที่ทางรถไฟสายเหนือสร้างมาถึงเชียงใหม่ ทำให้การเดินทางจากกรุงเทพขึ้นมาเชียงใหม่ใช้เวลาไม่นานเหมือนแต่ก่อน ผู้คนจำนวนมากหันมาใช้บริการของรถไฟจึงทำให้แต่ละขบวนแออัดไปด้วยผู้โดยสาร จนบางครั้งต้องออกแรงปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาก็มี หลังจากนั้นทางมณฑลพายัพจึงได้สร้างสถานีรถไฟประจำเชียงใหม่ขึ้น ชาวบ้านเรียกสถานีนี้ว่า “สถานีป๋ายราง” หมายถึงที่สิ้นสุดของรางรถไฟ หลังการก่อสร้างสถานีรถไฟเชียงใหม่เสร็จก็ได้มีพิธีเปิดทำการเดินรถไฟสายเหนือขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2464
อาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่หลังแรก สร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว ถือได้ว่าเป็นอาคารที่สวยงามมาก เพราะเป็นประตูผ่านเข้าออกระหว่างเชียงใหม่กับต่างจังหวัดที่มีคนใช้กันมากที่สุด สถานีรถไฟเชียงใหม่หลังแรกนี้เคยถูกใช้เป็นที่รับเสด็จ ฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินประพาสมณฑลพายัพ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานีรถไฟเชียงใหม่หลังนี้ ถูกเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดพังพินาศไปพร้อมกับชีวิตคนนับร้อย รวมทั้งอาคารบ้านเรือน โกดังเก็บสินค้าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงราบเรียบไปหมดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2486 หลังจากสถานีเชียงใหม่ถูกระเบิด ทางราชการต้องประกาศงดใช้สถานีรถไฟแห่งนี้ไปหลายปี ผู้โดยสารที่เดินทางโดยรถไฟต้องไปขึ้นลงที่สถานีป่าเส้า จังหวัดลำพูนแทน ต่อมาเมื่อสงครามสงบแล้วจึงได้สร้างสถานีรถไฟขึ้นมาใหม่ในที่เดิมและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
การคมนาคมทางเรือซึ่งใช้กันมาก่อนและต้องนอนแรมกันนานเป็นเดือนก็ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป การสร้างทางรถไฟสายเหนือมาถึงเชียงใหม่ยังถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การค้าของเชียงใหม่เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพราะผู้คนในเชียงใหม่และต่างถิ่นสามารถเดินทางเข้าออกไปค้าขายได้สะดวก จนในยุคหลังเมื่อมีการตัดถนนมายังเชียงใหม่ยิ่งทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
(จักรพงษ์ คำบุญเรือง jakrapong@chiangmainews.co.th)
ที่มา https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/550261
อันเนี้ยถ่ายให้ดูกลไกสมัยก่อนในการเคลื่อนรถไฟ ใช่เป่าไม่รู้นะ
อยากรู้ว่าข้างของในการเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาวเยอะแค่ไหน
นี่เลย ยังไม่นับที่ติดตัวไว้อีก นึกแล้วจะเอาขึ้นไปยังไงหว่า เด๋วมีเฉลย
หลังจากครบทีมอิ่มหนำสำราญด้วยข้าวมันไก่ ทุกคนพร้อมออกเดินทางมุงสู่การผจญภัย คือล่องแก่งแม่กิ๊ด เส้นทางเดียวกับการเดินทางไปขึ้นดอยหลวงเชียงดาว
และในที่สุดกว่าชั่วโมงเราก็มาถึง และข้อมูลที่หาไว้สำหรับใครที่อยากมาลองสัมผัสการล่องแก่งในแต่ละช่วงเวลาของปี
ช่วงเวลาที่เหมาะสมและสภาพการล่องในช่วงต่างๆ ของปี
เดือนมิถุนายน ความยากระดับ 2 ถึง 3+ มีความปลอดภัยสูง นักท่องเที่ยวสามารถเลือกล่องกับผู้ประกอบการมาตรฐานใดๆ ก็ได้เพราะน้ำยังไม่แรงมากนัก
เดือนกรกฏาคม – เดือนสิงหาคม กระแสน้ำจะดุดันที่ระดับ 3 ถึง 4+ ต้องระวังและใช้เทคนิคสูงสุด ทีมกู้ภัยต้องพร้อม 100% ควรเลี่ยงผู้ให้บริการที่มาตรฐานไม่พอ
เดือนกันยายน น้ำป่าหลาก ความยากระดับ 4 ถึง 5+ เหมาะกับนักล่องแก่งระดับ Hardcore ต้องเว้นข้ามในบางจุด ที่มีความเสี่ยงสูง ต้องระวังและใช้เทคนิคสูงสุดอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจำนวน 15% มีโอกาสหลุดจากเรือหรือเรือพลิกคว่ำ ทีมกู้ภัยต้องมีประสิทธิภาพสูงสุดและนักท่องเที่ยวควรต้องมีประสบการณ์มาพอสมควรและสามารถช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่งด้วย
เดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม ความยากระดับ 3 ถึง 4 มีความปลอดภัย แต่ทีมกู้ภัยต้องพร้อม 100% เพราะกระแสน้ำยังแรงอยู่ หลังจากกลางเดือนธันวาคมมาแล้วกระแสน้ำจะลดความรุนแรงลงมาอยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งทุกคนสามารถล่องได้ เหมาะกับการล่องแก่งผจญภัยร่วมกับครอบครัวและเด็กๆ
เดือนมกราคม – เดือนมีนาคม ความยากระดับ 2 ถึง 3 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สนุกมาก เหมาะกับครอบครัวและเด็กๆ ที่จะมาท่องเที่ยวผจญภัยร่วมกัน รวมทั้งผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ มี ความปลอดภัยสูงมาก กระแสน้ำใสเย็น สามารถเล่นน้ำไปพร้อมกับการล่องได้
เดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม ความยากอยู่ที่ระดับ 2 ไม่เหมาะกับ การล่องแก่งด้วยเรือยาง เพราะน้ำตื้นเรือยางขนาดมาตรฐานจะล่องไปติดไปตลอดเวลา ตรงกันข้ามผู้ให้บริการที่มีเรือคยัคยางซึ่งมีขนาดเล็กนั่งได้เพียง 3 ที่นั่งจะพานักท่องเที่ยวของพวกเขาสุดสนุกและตื่นเต้นยิ่งกว่าล่องเรือยางขนาดใหญ่ในหน้าน้ำเสียอีก เพราะนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกระแสน้ำ สัมผัสกับคลื่นและแก่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างใกล้ชิดแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับสายน้ำเลยทีเดียว
ที่มา topchiangmai.com
สำหรับ ทีมที่มาด้วยกันนั้น ล่องในเดือนธันวาคม ซึ่งน้ำไม่แรงมาก แพยาง มีขนาดที่พอนั่งได้5คน ถ้านั่งมากกว่านี้ ท้องแพก็จะติดกับหินในบางช่วง เราต้องถ่อไม่ค้ำในบางช่วง สำหรับบางช่วงน้ำนิ่งเรือไม่วิ่ง จำต้องช่วยกันพาย บางช่วงที่เป็นแก่ง ก็จะมีเสียวกรี๊ดกร๊าดของบรรดาเด็กๆ
เราใช้เวลาล่องแก่งอยู่ประมาณ 1ชั่วโมง จนกระทั่งถึงจุดที่จอดรถไว้ แล้วก็อาหารก็มาพร้อมด้วย ข้าวนึ่งที่แสนอร่อย กับหมูทอดและน้ำพริกตาแดง หลังจากอิ่มแล้ว เราก็เริ่มเดินทางสู่ น้ำตกบัวตองเป็นน้ำแร่ซึ่งมี แคลเซียมคาร์บอเนต พุพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วไหลเป็นลำธารและน้ำตกขนาดเล็ก มีพื้นที่ ลำธารแข็งเพราะ มีแคลเซียมคาร์บอเนตเคลือบอยู่ ดูสวยงามน่าชมยิ่งนัก
สถานที่ตั้งของวนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสีนั้น ได้ตั้งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ 8 ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่แตง และได้มีเนื้อที่ประมาณ 9,375 ไร่ ซึ่งกรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งพื้นที่วนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี ในวันที่ 10 ก.ย. 2537 และ มีอาณาเขตติดกับป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่แตงและติดกับป่าขุนแม่กวงและป่าสันทรายติดกับแนวเขตสวนป่าแม่หอพระ แปลงที่ 2518 หรือสวนป่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีลักษณะพิเศษเป็นธารหินปูน มีความสูงประมาณ 100 เมตร มีความลาดชันประมาณ 50 องศา มีทั้งหมด 2 ชั้น นอกจากนี้ตลอดลำธารน้ำตกชึ่งจะไหลลงสู่ลำห้วยแม่ป๋อน จะมีความร่มรื่นและมีน้ำตกขนาดเล็กๆ สวยงาม
เป็นบ่อน้ำพุเย็น มีขนาด 6 X 8 เมตร มีน้ำพุไหลพุ่งออกจากใต้ดินตลอดปี น้ำใส เป็นประกายสีรุ้งเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่ทำให้เกิดน้ำตกบัวตอง โดยน้ำจะไหลไปตามลำธาร จนถึงน้ำตกบัวตอง เป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร
ที่มา thaiticketmajor.com
นอกจากนั้น ยังมีพันธุ์ไม้หลายชนิดที่เป็นไม้ท้องถิ่นเฉพาะของน้ำตกแห่งนี้ เทียนดอย หรือเทียนป่า สีม่วงที่เห็นได้เป็นระยะๆตลอดทางเดินข้างน้ำตก
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานประมาณ 1ชั่วโมง เด็กมีความสุขจากการเล่นน้ำตกและเพลิดเพลินกับการเดินชมธรรมชาติของบริเวณโดยรอบรูปนี้พักโฆษณา ขายของครับ แม่ยกประจำงาน
น้ำตกหินปูน
ใบไม้ที่ไม่มีใครมอง แล้วมึงจะลงทำไมวะเนี่ย
ฝรั่งเที่ยวไม่เหมือนไทย เวลาเหลือตากแดด
หัวอะไรซักอย่าง อาจารย์มะเดี่ยวบอกแล้วแต่ลืม ถามเอาเองนะ
ผู้อุกถัมภ์รายการ ถ่ายกับป้ายยังชี้นิ้วเลย
น้ำพุเจ็ดสี นับให้ครบเลย
พระอาทิตย์เริ่มเหนื่อยล้า แสงที่ส่องผ่าน้ำตกเริ่มมีเงาที่ทอดยาวมากขึ้น และความเย็นก็เริ่มมีกำลังเข้มแข็งมากขึ้น เรา อกเดินทางจากน้ำตกเพื่อมาเข้ามี่พัดปถวอำเภอแม่แตง Royal ping garden resort ที่เป็นที่พักและเตรียมตัวก่อนจะเดินบุกขึ้นดอยหลวงเชียงดาวในวันรุ่งขึ้น
ที่พักสะอาดและน่าจะเป็นการนอนบนเตียงและที่นอนคืนสุดท้ายก่อนจะไปนอนหนาวในเต้นท์ที่บนดอยหลวงเชียงดาว
ทุกคนขมักขเม้นในการฟังการวางแผนในการเกินขึ้นเชียงดาว โดยครูมะเดี่ยว และมีเกมส์ในการหาของหายากบนดอย
http://siamforestcollection.com/พรรณไม้ดอยเชียงดาว/
Click to access ChiangDao_Plants.pdf
อ่านทั้งเล่มเลยครับ มี Link ให้อ่านเที่ยวสนุกขึ้นเยอะเลย
ดอยเชียงดาว หรือ ดอยหลวงเชียงดาว(อังกฤษ: Doi Chiang Dao, Doi Luang Chiang Dao) เป็นดอยหรือยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย รองมาจากดอยอินทนนท์และดอยผ้าห่มปก ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูง 2,275 เมตร (7,136 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล ชื่อในสมัยก่อนเรียกว่า “ดอยอ่างสลุง” ชื่อกันตามตำนานพื้นเมืองว่าเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาพร้อมพระอรหันต์ 8 รูป ทรงลงสรงน้ำในสลุงทองคำหรือบริเวณอ่างสลุง จึงเรียกดอยแห่งนี้ว่า “ดอยหลวง” เนื่องจากเป็นดอยที่มีขนาดสูงใหญ่ (“หลวง” ในภาษาเหนือหมายถึง “ใหญ่” ) เพี้ยนเป็น “ดอยหลวงเพียงดาว” จนกลายมาเป็น “ดอยหลวงเชียงดาว” หรือ “ดอยเชียงดาว” ในปัจจุบัน[1]
เป็นที่ตั้งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวอุณหภูมิตามปกติจะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกตลอดปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวและฤดูฝน อากาศหนาวเย็นตลอดฤดูหนาวและฤดูฝนอากาศชุ่มชื้นมาก เป็นแหล่งที่มีพืชพรรณหลากหลายและมีหลายชนิดที่เป็นพืชถิ่นเดียวไม่พบในส่วนอื่น ๆ ของประเทศไทย มีทั้งพืชเขตร้อน, กึ่งเขตร้อนและพืชเขตอบอุ่น จึงเป็นสถานที่ ๆ พบความหลากหลายทางชีวภาพมาก เนื่องจากเป็นเขาหินปูน เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัยเกิดขึ้นในยุคเพอร์เมียน มีอายุระหว่าง 230–250 ล้านปี เป็นหมู่หินราชบุรีของไทย ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนทะเล และซากสัตว์ที่มีหินปูน สันนิษฐานว่า พื้นที่ในบริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นท้องทะเลมาก่อนที่การตกตะกอนทับถมของซากสิ่งมีชีวิต เช่น ปะการังและหอย เป็นแหล่งนิยมสำหรับการดูนก[2] มีนกอาศัยอยู่ที่นี่มากกว่า 300 ชนิด[3] รวมถึงสัตว์ป่าชนิดอื่นที่หายาก เช่น ผีเสื้อสมิงเชียงดาว, ไก่ฟ้าหางลายขวาง, กวางผา รวมถึงเลียงผา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน เป็นต้น
ที่มา Wikipedia
วันต่อมา อากาศเริ่มส่อแววเย็นขึ้นสมกับมาเชียงใหม่หน่อย วันนี้แปนการขึ้นเชียงดาวกำลังเริ่มขึ้น ด้วยการไปพบกันที่ค่ายุวชนของ พี่นิคมที่มักจัดทริปดีๆ เกี่ยวกับธรรมชาติทั้งในใจและกายภาพ รายการที่น่าสนใจคือการเดินธุดงค์แบบพระแต่ไม่ต้องบวช เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติและชีวิต ความอดทน
แต่ก่อนขึ้นเรามีวัยรุ่นที่ไม่มีเสื้อหนาวเพราะเข้าใจว่าไม่มาก เลยแวะซื้อเสื้อหนาวก่อนทางขึ้นสู่ยอดดอย
เราทานอาหารกลางวันและแวะซื้อของที่จำเป็นที่ตีนดอยหลวงเชียงดาว เพื่อนำขึ้นไปบนดอยหลวง สำหรับคืนแรกเพื่อซ้อมความหนาว เราจะต้องไปพักที่พักที่ แคมป์ของหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ที่เรียกกันว่า เด่นหญ้าขัด ซึ่งเป็นลานกางเต้นท์ ขนาดสวยงามอยู่บนเนิน ที่มีวิวล้อมรอบเป็นทิวสน เราเสียเวลากับการนั่งบนรถแบบ ขับเคลื่อนสี่ล้อ รถที่พสเราขึ้นมานั้นเป็นรถที่คนขับต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษ และเส้นทางวัดใจมากเพราะเป็นทางแคบสวยกันไม่ได้
พี่นิคมที่เป็นคนท้องถิ่นเป็นคนที่มีความรู้ดีม๊ากกก FB Nikom Putta แกแทบจะรู้จักต้นไม้ทุกต้น บนเขาหลวงแห่งนี้ รวมทั้งเส้นทางและผู้คนระหว่างทาง พี่นิคมเป็นชาวเชียงดาว แกเล่าให้ฟังว่า เดิมที่มีชาวบ้านที่เป็นขาวเขาอาศัยอยู่ก่อนปี พ.ศ. 2516 ก่อนการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทำให้ชาวบ้านบางกลุ่มยังคงใช้พื้นที่บนดอยหลวงในการปลูกชา ซึ่งชาวบ้านเรียกชาว่าต้นเมี่ยง และใบแก่นำไปขายเป็นเมี่ยง ส่วนใบอ่อนด้านตัดขายเป็นใบชาที่เราใช้ดื่มกัน และมีบางส่วนปลูกชา เจียวกู่หลาน
นอกจากนั้นก็เป็นสวนส้มที่ปลูกอยู่บนภูเขาที่เราได้ลิ้มลองแล้วหวานมากแต่ปลอดสารรึเปล่าไม่ทราบจริงๆ แต่ที่แน่ๆ เลี้ยงวัวกันตลอดทางและปล่อยตามธรรมชาติ
พี่นิคมบอกว่า วัวพวกนี้จำเจ้าของได้เอง และกลับบ้านเองและมีควมผูกพันกับเจ้าของมาก ผมเองมานึกตอนที่ขายไปให้ถูกเชือดแม่งทำใจได้หรือเนี่ย สรุปผมเลยไม่กินเนื่อวัว เกี่ยวกันไหมเนี่ย เราใช้เวลากว่า สองชั่วโมงในการพาตัวเองมาถึง เด่นหญ้าขัด ซึ่งเป็นจุดที่เราจะทำการกางเต้นท์นอนในคืนวันที่2ของการเดินทาง
นี่เลยเต้นท์กางเลียงรายบนสนามหญ้าแบบเนี้ยบมาก หญ้ามันทุกใบเลยเรียกว่าเด่นหญ้าขัดนั่นเอง เกี่ยวกันไหมวะ
เรามาถึงช่วงบ่ายอ่อนก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน จึงมีเวลาเดินเล่น
ไลเค่น ครูมะเดี่ยวบอกว่ามันเป้นความอุดมสมบรูณ์ของป่าที่ยังดีอยู่
ครูมะเดี่ยวที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนกและธรรมชาติมาก ได้พาะวกเราไปรู้จัก แมลง นก และพืชชนิดต่างๆ รวมทั้งเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดิน ดูนกมอดแมลงและดูพระอาทิตย์ ส่วนพี่นิคมเล่าเรื่องความเชื่อมโยงป่าภายนอกกับป่าในใจเราอย่างมีรสชาติ แต่เด็กน่าจะสนใจจับตั๊กแตนมากกว่า
ไลเค่นเช่นเดียวกันแต่ใกล้ขึ้น เกาะตามต้นไม้
อ่านเลยแยกแยะยังไงขี้เกียจเขียนเจ็บคอ
http://www.lichen.ru.ac.th/index.php/lichen/identify
บรรยากาศโดยรอบ เด่นหญ้าขัดที่พักแรมแบบเต้นท์ในคืนเชียงดาว
ป่าสนที่ไม่มีใครสน
บริเวณเด่นหญ้าขัดเลยต้องมีรูปขัดๆนิดนึง
พี่สำราญและทีมงานกางเต้นท์เนี้ยบมากเรียงกันซะ
สองแถวเต้นท์ว่าเยอะแล้วคนเยอะกว่า 5555
รูปนี้ชัดเจน หญ้าขัดจนเด่น ที่มาของชื่อเด่นหญ้าขัด นั่นเอง
ไม่ใช่ไม้พื้นเมืองที่นี้แน่แน่แต่มันก็สวยดี ชื่ออย่าถาม
นอกจากจะมีที่เดียวแล้วยังมีต้นเดียวด้วยทั้งเชียงดาว
จัดไปไม้หน้าคว่ำเนี่ย
พอแล้วรูปสุดท้ายแล้วไม่งั้นต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องแล้ว
ลูกอะไรซักอย่างมีกลิ่นหอมอย่าถามว่าลูกอะไร
ไม่เลิกแฮะ ความจริงรูปนี้จะถ่ายท้องฟ้าว่ามันหนาวแต่ดันมีดอกนี่มาบัง
ปลงตก
ดอกอะไร
หลังจากพระอาทิตย์ลับไปแล้วก็ได้เวลาสุมหัวกัน พูดคุยทานข้าว เมนูวันนี้มีน้ำพริก ผัดผัก และพระเอกของกับข้าวคงไม่พ้นไข่เจียวที่เอาชนะเมนูอื้นทุกคราที่มาเดินทาง เรานั่งคุยและมีการซักซ้อมความเข้าใจ การเดินทางที่เป็น ไฮ ไลท์ขิงการมาขึ้นดอยหลวงเชียงดาวนั่นคือการเดินเท้าไปตามไหล่เขาจนถึงจุดสูงสุดที่เรียกกันว่า อ่างสลุง ที่เป็นจุดกางเต้นท์ที่ทุกคนบนดอยหลวงอยากมาพักซักครั้งในชีวิต อันว่า อ่างสลุง แม้จริงแล้วคือรอยบริเวณเกือกม้า ที่เป็นหลุบลงไป พอมีพื้นที่ว่างให้ได้กางเต้นท์และหุงหาอาหาร
กฏสำคัญบนการขึ้นมาบนดอยแห่งนี้คือ การถ่าย อุจาระและปัสสาวะ ที่ทางหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่า บังคับไม่ให้ถ่ายหรือเบาใดๆลงบนพื้นดินเพราะ จะเป็นปัญหากับระบบนิเวศน์ ของสัตว์ป่าที่อยู่บนดอยหลวงนั้นเอง
เราเข้านอนเร็ว และอากาศก็หนาวอย่างรวดเร็วเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เสมือนความเย็นได้แอบอยู่ตามมีาต่างๆเพียงแต่รอเวลาให้แสงแห่งดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไป
เรานอนกันในเต้นท์ บ้านละ 1เต้นท์ บางบ้านก็มากันหลายคนเลยกลายเป็น 2เต้นท์สมาชิกที่มาร่วมการเดินทาง มีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงช่วงใกล้เกษียณ การเดินทางจึงต้องมีการรอกันพอสมควร แต่ก็มีความเอื้ออาทรกันและกัน
เราสลบเหมือด ในเต้นท์ที่ทำการจัดไว้ให้ ตอนเช้าเราหวังว่าจะได้ออกไปดู พระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่ว แต่สุดท้ายด้วยความเพลียเราก็พลาดมันจนได้ แต่รอบๆที่ทำการนั้นเต็มไปด้วยทะเลหมอกที่หันไปทางไหนก็เป็นสีขาวโพลนรอบตัว
เข้านี้เราตื่นมาแล้วก็นั่งผิงไฟ มีชาวบ้านที่เตรียมมาเป็นลูกหาบ เพื่อหาบสัมภาระ ให้กับผู้ที่ไม่สามารถแบกของของตัวเองขึ้นไปเองได้
เรานั่งสุมไฟกันและขาวบ้านได้ชวนดื่มน้ำร้อนที่ด้านในหม้อต้มนั้น เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า หญ้าเอนยืด ซึ่งมีรสชาติที่อร่อยมาก และดื่มแล้วผ่อนคลาย ผมจัดไปหลายแก้วและตามด้วยกาแฟดริฟท์ รสชาติเข้มข้น นอกจากนั้นยังมีการเตรียมทำน้ำพริกหนุ่ม ที่ต้องเอาหอมมาคั่วแล้วตามด้วยเอาพริกหนุ่มมาเผา
คั่วหอมกระเทียมทำน้ำพริกหนุ่ม ที่มีแต่คนแก่ทำกิน
ต้มหญ้าเอ็นยืด ดื่มระหว่างคั่วหอมกระเทียมแถมกันหนาวไปในตัว
ดอกไม้จบ
ดอกไม้อีกดอก
ตอนเช้าอาหารของเราก็เป็นผัดผัก และพระเอกไข่เจียว รวมทั้งซุปร้อนๆให้ด้วย
และแล้วหลังจากอิ่มหนำสำราญ เราก็มาถึงโปรแกรมสำคัญ คือ การเดินทางไกลขึ้นไปตามยอดเขา เป็นระยะทางประมาณ10 กิโล ที่เป็นเสน่ห์ของกานเดินทางบนดอยหลวงแห่งนี่นั่นเอง เราเริ่มออกเดินทางพร้อมกับ อาหารกลางวันที่เป็นข้าวเหนียว ไก่ทอดและหมูทอด ระยะกานเดินทางผ่านเว้นทางที่สวยมากและตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของพันธุ์ไม้ นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ต้องมาสัมผัสซักครั้งในชีวิต
เราใช้เวลาเดินทางมากกว่า 4 ชม เพื่อมสถึงอ่างสลุง ซึ่งเป๋นจุดที่จะการเต้นท์นอนในคืนนี้ เราใาถึงพักผ่อน_อสมควรและเตรียมเดินขึ้นยอดกอยหลวงทีาเป็นจุดที่ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด แต่เส้นทางที่ต้องปืนขึ้นไปนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากเป็นหน้าผาชัน แต่อย่างไรก็ตามเราก็ขึ้นไปถึงยอดเพื่อชมพระอาทิตย์ตกบนจุดที่สวยที่สุดของดอยหลวงแห่งนี้ สมกับความเหนื่อยที่ต้องเกินมาทั้งวัน จุดฟินของการเดินทางก็อยู่ที่ตรงนี้แหล่ะครับ
สปอนเซอร์
ชอบทำเซอร์ แห่วะ
ทำเป็นยืนเก๋ล้มไม่เป็นท่าไปหลายที
ท้องฟ้าและขุนเขารอบตัวเราที่แลกมาด้วยความเหนื่อยที่ได้สัมผัส มันนับว่าเยี่ยมยอดจริงๆ พวกเรานั่งชมแสงสีที่ค่อยๆเปลี่ยนหลังจากที่แสงอาทิตย์ค่อยๆลับของฟ้า และใครบอกว่าภูเขาบังดวงอาทิตย์ไม่ได้ ยามที่ปลายแหลมของภูเขากำลังสู้กับแสง ช่างเป็นภาพของ ความมหัศจรรย์ ที่หาได้ในทุกวันแต่คนกลับมุ่งมั่นมองแต่เครื่องมือสื่อสาร การได้เสพพระอาทิตย์ตกดิน นับเป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ทำเป็นสวยล้มเละ
ชัดเจนวัยทอง
ท๊อปออฟเชียงดาว
เฝ้ารอพระอาทิตย์สู้กับยอดเขา แล้วยอดเราหล่ะ มุกเสี่ยวมาก
เรากลับลงมาหลังพระอาทิตย์ตกดินด้วความทุลักทุเล เพราะเมื่ออาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาเส้นทางเดินก็มืดตึบ แถมลื่นชันแต่ในที่สุดเราก็ลงใาจนถึงบริเวณกางเต้นทและ อาหารก็รออยู่เช่นเดิม คือไข่เจียวและแกงเขียวหวาน อีกทั้งผัดผัก หลายคนเริ่มดอามาม่ามาลวกทานเพราะอยากทานร้อนๆ
เราจบวันด้วยความเหนื่อยและ อยากนอนเต็มแก่
คืนนี้เราเตรียมเครื่องนอนเต็มอัตราศึกด้วยระหง่างทางที่เกินขึ้นนั้น นักเพินทางที่สวนมาบอกว่าความหนาวกลางคืนนั้น 0องศา และแน่นอน คนเขตโคตรร้อนจากกรุงเทพย่อมจิตนการไม่ออกว่า แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร
เต้นท์ที่กางเป็นเต้นท์แบบเดิม ที่ต้องเพิ่มคือเช่าแผนรองกันนอนที่มีให้เช่าจากพี่ทหาร บอกตรงว่าถ้าไม่มีแผ่นรองนอนนี้ ต้องบอกเลยว่าตายดีกว่าเพราะความเย็นทั้งมวลจะพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน และทำให้เรานอนไม่ได้ ซึ่งได้เคยประสบมาแล้ว
แสงแห่งดวงอาทิตย์เมื่ออ่อนแรงลง ความหนาวทีาเฝ้ารออยู่ก็รีบพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว แม่งคล้ายกับความเีกับความชั่วไงไม่รู้ ทำดีมาตลอดถ้าคิดทำชั่วนิดเดียว ความดีที่มีมาเป็นหายหมด เดี่ยวกันมั้ยเนี่ย
การเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึกสู้ความหนาวเย็น เราเข้านอนเร็วเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับบ้านและต้องไปขึ้นเครื่องบินให้ทันในเวลาที่จำกัด
ระหว่างที่นอนหนาวเหน็บห่มด้วยทะเลดาวในเวลาดึก เสียงเต้นม?โดนเตะดังขึ้นหลายทีในกลางดึก เรานึกว่ากิ่งไม้หล่นและความเหน็บหนาวจึงทำให้เราคร้านที่จะลุกดู จนตอนเช้า คนูมะเดี่ยวที่เป็นคนที่ลุกดูจึงบอกให้ทุกคนทราบว่า เมื่อคืนกวางภูเขาที่เราหากันแทบตาย ส่องแล้วส่องอีก มาเยี่ยมเยียนเราเป็นฝูง
และนี่เป็นสาเหตุให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ต้องห้ามการใช้ถุงพลสาติก การทิ้งอาหาร การขับถ่ายแบบมีระบบ เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ไปที่ไหนการทำลายระบบนิเวศน์เดิมจะเกิดขึ้นทันที
เจ้ากวางผาที่หน้าตาน่าจะเรียกว่าแพะมากกว่า มาเพื่อค้นหาอาหารที่คนนำมาทิ้งไว้ เรานอนจนเสียงของเพืาอนร่วมทริป ชวนกันขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับทะเลหมอก แต่ด้วยความเหนื่อยอ่อนของตัวเองผมจึงไม่ได้ลุกขึ้นไป สาวนลูกชาย นายทัทม นั้นบอกมาแล้วต้องให้ครบจึงแต่งตัวเดินขึ้นไปคนเดียวเพื่อได้มีโอกาสเห็นแสงแรกแห่งวันซึ่งแน่นอนมันเป็นแสงท้ายๆปี เวงตะวันขึ้นทุกวันแต่กลับอยู่ที่จุดท้ายบ้างจุดต้นบ้าง แท้จริงแล้วดวงตะวันเพียงแต่มีความเที่ยงและความมานะไม่หยุดหย่อน ขาดก็แต่ตัวเราที่มักให้ตะวันเป็นจุดเริ่มต้นหรือลงท้าย เลอะเทอะเมายาแล้วเรามำเป็นปรัชญาถุยส์
เราพร้อมออกเดินทางกลับ การผจญภัยขากลับบนเส้นทางเดิม เพื่อลงจากอ่างสลุง มุ่งสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ การเดินทางตามไหล่เขาตลอดเวลา เกือบ 4ชั่วโมง ผ่านวิวสวยนับล้าน ผ่านเรื่องราวของป่า และการค้นพบอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับผู้เดินทางและความรู้ความตั้งใจที่จะมาเดินในทางแห่งนี้ เราสงนทางกลับกลุ่มที่กำลังขึ้นไปนอน เช่นเดียวกับเรา แต่ละกลุ่มมีจุดหมายของการใาถึงต่างกันมาก แม้มันจะเป็นทางเดียวกัน บางกลุ่ม อุปกรณ์พร้อมและมุ่งมั่นทีาจะมาเรียนรู้ ดูจากการพูดคุยแลอุปกรณ์ที่แบกมา บ้างบางกลุ่มต้องการมาเพื่อเช็คอิน และเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของตนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิต บ้างก็อาศัยป่าเป็นเครื่องหย่อนใจ เปิดเพลงเดินทาง บ้างก็มาเพิ่มความรักระหว่างกัน ด้วยระยะทางและความสูง บ้างก็อยากพิชิตใจตัวเอง แน่นอนมัวแต่มองคนอื่นเขาว่ามาทำไมเลยต้องย้อนกลับมาถึงตัวเรา “แล้วกูมาทำไมวะ” ลูกมา ภรรยามา หรืออยากมาเอง หรือไง เข้าสูตรเลยมองคนอื่นออกพอย้อมกลับมามองตัวเองไม่มีจุดหมาย สุดท้ายก็ต้องบอกว่า บุพเพมั้ง ระหว่างทางขากลับผมเดินกับภรรยา เป็นเวลากว่า 3ชั่วโมง และสิ่งหนึ่งที่ค้นพบระหว่างทางแม้ไม่ได้มีจุดหมายว่ามาทำไม แต่ความเป็นจริงที่ดอยหลวงเชียงดาวและ การเดินทางครั้งนี้มอบให้คือได้ไกล้ชิดภรรยาแบบไม่มี เครื่องมือสื่อสารใดมากางกั้น และได้ชมธรรมชาติรอบตัวพูดคุยแบบที่ในหนังเขาทำกัน 5555 เกี่ยวไหมวะเนี่ย
เที่ยงกว่าก็มาถึง ที่กางเต้นท์เดิมก่อนเดินขึ้นเป็นที่รถมาได้แค่นี้ทีาเหลือต้องอาศัย เท้าเท่านั้น
เรามาทานอาหารกลางวันกันที่นี่ และบ้านไหนพร้อมก็เดินทางบนรถ โฟร์วิลล์ เพื่อลงจากดอยหลวงแห่งนี้ ผมลงมากับรถพี่นิคม แกบอกว่ามีอีกหลายที่ๆน่สไปสัมผัสทำให้เกิดแรงบันดาลใจและการวางแผนในปีต่อไปที่จะ มีจุดมุ่งหมายการเดินทางที่แท้จริงมากกว่าแค่พรหมลิขิต
สุดท้ายเราร่ำลากันและเดินทางมาสนามบินเชียงใหม่เพื่อกลับไปเมืองในหมอกที่ไม่ต้องรอตอนไหน เพียงแต่หมอกที่สัมผัสได้นั้น ชาวบ้านแถวนี้เขาเรียกว่า “ควัน” สวัสดี